เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๗ ธ.ค. ๒๕๕๗

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๕๗
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ เวลาเราทำบุญกุศล เห็นไหม การให้ธรรมเป็นทานประเสริฐที่สุด การให้ธรรมเป็นทาน การให้ธรรมเป็นทาน เราก็ว่าเรามาทำบุญกัน เรามาทำบุญกันทำไมมันไม่ราบรื่น ทำบุญกันแล้วทำไมมันต้องมีปัญหากัน

มันมีปัญหาเพราะว่าจิตใจของคนมันแตกต่างหลากหลาย จิตใจของคนที่เขาเป็นธรรมนะ เวลาที่ว่าทำบุญทิ้งเหวๆ เขาทำบุญไปแล้วเขาไม่สนใจ เขาทำบุญไปแล้ว เพราะอะไร เพราะจิตใจของเขามันสะอาดบริสุทธิ์ แต่ของเรากว่าเราจะทำบุญได้ เพราะอะไร เพราะ หนึ่ง เราไม่มีเวลา สอง พวกเราทุกข์จนเข็ญใจกว่าเราจะหาปัจจัยขึ้นมา กว่าเราจะหาเงินหาทองมาเพื่อแลกเป็นอาหารมา แลกเป็นสิ่งที่เราจะมาทำบุญกุศล พอแลกมา สิ่งนี้เราลงทุนลงแรงมามาก หัวใจมันไม่เคย

แต่ถ้าหัวใจคนเคย เขาทำเป็นประจำ พอทำแล้วมันสบายใจ พอมันสบายใจ ใครจะทำอย่างไรก็ได้ เราได้เสียสละของเราไปแล้วมันก็จบไง เราได้เสียสละมาแล้ว ปฏิคาหก เราได้ตั้งใจแล้ว ได้ทำแล้ว ทำด้วยเต็มหัวใจของเราแล้ว ถ้ามันเป็นอย่างไรไปแล้วมันเป็นผู้ที่รับแล้ว รับแล้วเป็นประโยชน์หรือไม่เป็นประโยชน์ เห็นไหม เนื้อนาบุญของโลก เนื้อนาบุญของโลก ถ้าใจของคนมันเป็นประโยชน์มันเป็นประโยชน์อย่างนั้น

แต่ถ้าใจของคนไม่เป็นประโยชน์ เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสอนนะ สอนถึงประเพณีวัฒนธรรม ประเพณีวัฒนธรรมมันเป็นเครื่องดำเนินทั้งนั้นแหละ มันเป็นเครื่องดำเนินเข้าไปสู่ใจของเราๆ ไง ตัวจริงๆ แล้วมันคือตัวใจ ถ้าตัวใจขึ้นมา ใจ ปฏิสนธิจิต เวลาเวียนว่ายตายเกิดขึ้นมามันทุกข์มันยากขึ้นมา ใครเป็นคนทุกข์คนยาก แล้วพระพุทธศาสนา เราสอน ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งปัญญา ปัญญาก็เป็นภาวนามยปัญญา ปัญญาที่เข้าไปชำระกิเลสในหัวใจของตัว ถ้าเราชำระกิเลสในใจของตัว

เราอาบเหงื่อต่างน้ำมา เราทุกข์จนเข็ญใจมา ร่างกายเราสกปรกมา เราก็อาบน้ำชำระล้างร่างกายของเราให้สะอาดบริสุทธิ์ใช่ไหม เราจะไปชำระร่างกายของคนอื่นให้สะอาดบริสุทธิ์แล้วเราได้ประโยชน์อะไร...ก็ได้ประโยชน์สิ ก็ไม่ได้มีกลิ่นเหม็นมาถึงเราไง เห็นไหม การเสียสละ เสียสละเพื่อสังคม

สังคม เวลาเราปรารถนาสังคม แต่เวลาจริงๆ แล้วมันต้องมาแก้ไขที่ใจของเรา ถ้าแก้ไขใจของเรา เวลาทุกข์เวลายาก ใครเป็นคนทุกข์คนยากล่ะ เวลาพ้นจากทุกข์ใครเป็นคนพ้นจากทุกข์ล่ะ เวลาพ้นจากทุกข์ ให้คนอื่นพ้นจากทุกข์ไป เราจะทุกข์จนเข็ญใจอย่างนี้ใช่ไหม

เวลาจะพ้นทุกข์มันต้องเราเป็นคนพ้นจากทุกข์ไปไง เราเองต้องพ้นจากทุกข์ แล้วเราเวลาพ้นจากทุกข์แล้วเราจะเห็นครอบครัวของมาร เห็นพญามารมันร้ายกาจขนาดไหน มันร้ายกาจขนาดไหน เพราะอะไร เพราะเราคิดไม่ถึง เราคิดไม่ได้ เราทำเองเราทุกข์เรายาก เราทุกข์เรายากเวลาทำขึ้นมา

เวลาเราทำหน้าที่การงานกัน เขาทำกันด้วยความอาบเหงื่อต่างน้ำ นั่นลงทุนลงแรง เขาเห็นการทำงาน เวลาคนบริหารมันนั่งอยู่เฉยๆ เขาบริหารเขาสั่งอย่างเดียว เวลากิเลสหยาบๆ ที่มันเผาลนใจ กิเลสหยาบๆ เวลากิเลสมันละเอียดขึ้นไปมันไฟสุมขอน มันเผาอยู่ในหัวใจนั่นล่ะ แล้วมันเผาหัวใจแล้วจะทำอย่างไร

เขาต้องนั่งสมาธิภาวนา ต้องให้มันสงบระงับขึ้นมา ให้ใจมันระงับขึ้นมา แล้วพอใจระงับขึ้นมา ภาวนามยปัญญา ปัญญาไปข้างใน แต่เวลาปัญญาของเรามันโลกียปัญญา โลกียปัญญาคือสัญชาตญาณ คือความคิด ความคิดเกิดจากจิต ความคิดเกิดจากจิต เวลาปัญญามันเกิดขึ้นมันก็เกิดสังขาร สังขารคือความคิด สังขารคือความคิด ถ้ามันมีสมาธิขึ้นมา มีสมาธิคือมีความสำนึก ถ้ามีสมาธิแล้วมันคิดได้ มันไม่ใช่ว่ารู้เท่าไม่ถึงการณ์ คิดไม่ได้ ไอ้นั่นรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เวลาคิดนี่คิดเก่งมากเลย แต่คิดแล้วมันคิดออกไปข้างนอก ส่งออกหมดเลย แล้วพอคิดไป โอ๋ย! รู้เท่าไม่ถึงการณ์ เมื่อกี้เราคิดอย่างนี้ก็ดี เมื่อกี้เราทำอย่างนี้ก็ดี กว่าจะคิดได้มันก็สายไปแล้วไง สายก็เป็นอนาคตไง อดีตอนาคตมันแก้กิเลสไม่ได้ แต่ถ้าเป็นปัจจุบันล่ะ ปัจจุบันจิตสงบเข้ามา ถ้าจิตสงบเข้ามาจิตมันจะเป็นตัวของมันเอง

ฉะนั้น เวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านอยู่ในที่สงบสงัด อยู่ในที่วิเวก บอกว่าถ้าพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบก็อยู่ในกลางตลาดก็ได้ ที่ไหนก็ทำได้

เวลากลางตลาด เราเห็นพระที่ไปตลาดเราก็ไม่พอใจใช่ไหม เวลาพระที่ไปกลางตลาด เราบอก นี่ที่อโคจร พระไม่ควรมา แต่เวลาปฏิบัติบอกให้ไปปฏิบัติกลางตลาดไง ปฏิบัติกลางตลาดมันก็ดี มันก็ไปนั่งอยู่นั่น ไปนั่งอวดเขาไง แต่เวลาเข้าป่าเข้าเขาไป เหมือนเราเวลาเข้าไปป่าช้าเราก็กลัวผี นี่ก็เหมือนกัน เวลาเข้าป่าเข้าเขาไปใครจะดูแลเรา เราเข้าป่าเข้าเขามันก็มีสัตว์ร้าย ทั้งสัตว์ร้าย ทั้งภูตผีปีศาจมันจะมารังแกเราหรือไม่ ศีลของเราปกติหรือเปล่า เวลาเราเป็นคนดีๆ เราก็อ้างว่าเราเป็นคนดีทั้งนั้นแหละ ทุกคนไม่เห็นความดีของเราเลยไง แต่เราทำดีทำชั่ว เรารู้ของเราเอง เราทำคุณงามความดีเราทำด้วยความสะอาดบริสุทธิ์เราก็รู้ว่าเราสะอาดบริสุทธิ์ แต่ถ้าเราได้ทุจริต เราได้ทำสิ่งใดมา เราก็รู้เองว่าเราได้ทำมา เวลาเราเข้าป่าเข้าเขาไป เราเป็นอาบัติเราก็รู้ว่าเราเป็นอาบัติ ถ้าเราไม่เป็นอาบัติ เราก็รู้ว่าไม่เป็นอาบัติ ศีลมันคุ้มครอง ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ศีลธรรมมันคุ้มครองหัวใจ คุ้มครองเพราะอะไร คุ้มครองเพราะเราสะอาดบริสุทธิ์

ถ้าเราสะอาดบริสุทธิ์ เราจะอยู่ท่ามกลางที่ไหน ท่ามกลางภูตผีปีศาจ ท่ามกลางป่าเขาลำเนาไพร ท่ามกลางสัตว์สิงห์ร้าย เรามีศีลของเราคุ้มครอง แต่ถ้าเราไม่สะอาดบริสุทธิ์ เราหวั่นไหว เราหวั่นไหวว่าสัตว์ร้ายมันจะเอาเราไปเป็นอาหาร ภูตผีปีศาจเขาจะมารังแกเรา ถ้าเราเข้าป่าเข้าเขาไปมันจะเป็นอย่างนั้นแล้ว มันจะเป็นการพิสูจน์ตรวจสอบตั้งแต่ว่าศีล สมาธิ ปัญญา

ถ้าศีลเรา ศีลมันจะคุ้มครองเรา เรามั่นใจ ศีลนี้คุ้มครองเลย ความสะอาดบริสุทธิ์ สัตว์มันก็ไม่อยากทำร้ายใครหรอก เราก็ไม่อยากรังแกใครหรอก เราก็อยากจะมีความร่มเย็นเป็นสุข เราก็อยากจะประสบความสำเร็จในชีวิตของเราทั้งนั้นแหละ สัตว์มันก็อยากหาอาหารเพื่อดำรงท้องของมัน มันไม่ต้องการมากินคนหรอก มันไม่ต้องการมากินคน มาทำร้ายคนให้ประชาชนเขารวมกันเพื่อมันจะมาล่ามันหรอก มันก็รู้ถึงโทษภัยเหมือนกัน มันเห็นคนเป็นที่น่ากลัวมาก คนไปทำให้มันไม่พอใจ เดี๋ยวมันประชุมชาวบ้านมาไล่ล่า มันจะมีความทุกข์ มันไม่มาทำเราหรอก ต่างคนต่างไปตามทางของตัว สัตว์มันก็อยู่ธรรมชาติของสัตว์ มันไม่อยากมายุ่งกับคน มันอยากมีอาหารเข้าท้องมันเท่านั้นแหละ มันอยากดำรงชีวิตของมัน มันไม่อยากมายุ่งกับคน

คน คนมาบวชเป็นพระเป็นเจ้า เราเข้าไปอยู่ในป่าในเขา อยู่ในป่าในเขาเพื่ออะไร? เพื่อมาอาศัยชัยภูมิ มาอาศัยสถานที่เพื่อให้มีสติปัญญาเข้ามาค้นคว้าใจของตัว เข้ามาค้นคว้าหาใจของตัว อยู่ในชุมชน อยู่ที่ไหนมันชะล่าใจ มันไม่เป็นไรๆ นอนสบาย เมื่อไหร่ก็ได้ นั่งภาวนาก็ภาวนาอวดกัน ใครผ่านไปผ่านมา เห็นไหม ฉันนั่งภาวนา ฉันเก่งนะ แต่เวลาไปอยู่ในป่าในเขามันไม่มีใครเห็นหรอก เสือมันจะกิน มาภาวนานี่ มานั่งภาวนานี่ เดี๋ยวจะกินหัวเอา มันไม่มีใครมาชมมันไง ถ้าไม่มีใครมาชม เวลาเราไปป่าไปเขา เราไปค้นหาตัวเราเอง แล้วค้นหาตัวเราเอง เราต้องมีสติมีปัญญาของเรา มีสติมีปัญญา สติปัญญาคือรักษาใจของเราไว้ไง รักษาใจเพื่อค้นหาใจของตัว ถ้าค้นหาใจของตัว ถ้าจิตมันสงบเข้ามามันมีความสุขแล้ว

เวลาคนที่เขาอยู่ในป่าในเขานะ เราว่าเขาเป็นคนชายขอบ เขาไม่เจริญรุ่งเรืองเหมือนเรา แต่เขานะ ถ้าฝนฟ้าตกถูกต้องตามฤดูกาล มันมีความชุ่มชื้น เขาปลูกอาหารของเขาได้ ข้าวไร่เขาปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหาร เขาอยู่ของเขาด้วยความเป็นสุขนะ เขาตัดขาดจากโลกได้เลยล่ะ เขาอยู่ของเขาได้ เขาทอผ้าใช้เอง เขาทำอะไรเอง เขามีความสุขของเขา นี่พูดถึงว่าความสัจจะ สัจจะคือความเป็นจริงในชีวิต

แต่ของเรา เราว่าเราต้องบริหารจัดการ เห็นไหม มนุษย์โง่กว่าสัตว์ สัตว์มันยังมีอิสรภาพของมันอยู่ในป่าในเขา มันก็อยู่อิสรภาพของมัน มนุษย์มาอยู่รวมกันแล้วต้องมีกติกา มนุษย์เป็นคนเขียนกฎหมายขึ้นมา มนุษย์เอาโซ่ตรวนคล้องคอของตัวเอง โซ่คล้องคอของตัวเองแล้วก็ดูแลตัวเองกันไปไง ดูแลเพราะอะไร เพราะมนุษย์มันเป็นสัตว์สังคม ต้องพึ่งพาอาศัยกัน ฉะนั้น มันต้องรอนสิทธิ์ รอนสิทธิ์ของเราเพื่อไม่ให้กระทบสิทธิ์ของคนอื่น เพื่ออยู่ด้วยกัน มนุษย์โง่กว่าสัตว์ สัตว์มันอยู่ของมันโดยธรรมชาติของมัน มันอยู่ของมันโดยธรรมชาติของมันนะ กติกาก็คือความดีของมันนั่นแหละ

ฉะนั้น เราเป็นสัตว์สังคม เราว่าเราต้องเจริญ เราต้องพัฒนาของเรา ถ้าพัฒนาด้วย มีศีลมีธรรม มีศีลมีธรรม ธรรมาภิบาลๆ เห็นอกเห็นใจกัน สิ่งใดเขาผิดพลาดไป เขารู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ได้ การศึกษาของคนมันไม่เท่ากัน เขาจะผิดพลาดอะไร เขาทำอะไรกระเทือนหัวใจของเรา เราก็ควรจะให้อภัยเขา แต่ถ้าให้อภัยเขา ถ้าด้วยความที่เขาตั้งใจของเขา เขาจะรังแก อันนั้นก็มีกฎหมายคุ้มครองไง

เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร เราไม่จองเวรไม่จองกรรมใครทั้งนั้น แต่เราก็ไม่ใช่คนใบ้บ้า จะยอมให้เขารังแกตลอดเวลา เพราะอะไร เพราะมันมีผู้คุ้มครอง มันมีกฎหมาย มันมีคนดูแล เราก็มีสติปัญญาของเรา รักษาตัวเรารอดไง เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร

แล้วเราอยากได้คุณงามความดีของเราล่ะ เราอยากจะภาวนาของเรา เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสียสละสถานะของความเป็นกษัตริย์มา เสียสละอำนาจมา เสียสละราชวังมา เสียสละความสุขในราชวังมา ท่านต้องมีเป้าหมายของท่านสิ ท่านมีเป้าหมายของท่าน ท่านปรารถนาความสุขจริง ถ้าความสุขจริงมันจะค้นมาจากไหนล่ะ ความสุขจริงของเราก็ต้องทุกอย่างอุดมสมบูรณ์ไปหมดเลย คนที่สมบูรณ์นะ คนประสบความสำเร็จในชีวิตก็ทุกข์ คนขาดแคลนก็ทุกข์ มันทุกข์เป็นอริยสัจ ทุกข์เป็นความจริงทั้งนั้นแหละ ทุกข์มันอยู่ที่ไหนล่ะ

ทุกข์มันอยู่ที่หัวใจไง หัวใจถ้ามันไม่พอ หัวใจมันดิ้นรนอยู่ มันทุกข์อยู่ที่นี่ไง เวลาชาวพุทธเรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนที่นี่ไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสียสละมา เสียสละมาเพื่อค้นหาความจริง ค้นหาโพธิญาณ โพธิญาณนี้ใครเป็นคนค้นคว้าล่ะ เราไปศึกษาธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราใช้สายตาศึกษาจากตำรับตำรานะ เวลาตำรับตำราปลวกมันกินทั้งเล่มเลย ปลวกมันกินเข้าไปมันก็ไม่ได้เป็นพระอรหันต์หรอก เราไปศึกษามาๆ แล้วปฏิบัติไหม

เวลาปฏิบัติ เวลาเป็นความจริงขึ้นมา เวลาทำจริงขึ้นมาเราต้องมีสติ แล้วสติมันอยู่ไหน สติมันก็ ส.เสือ ต.เต่า สระอิ สติ ไอ้นั่นสติมันชื่อ แต่เราเอาจริง ถ้าสติของเรา เรามีความทุกข์ความยากขนาดไหนสติมันจะยับยั้งนะ ของมันอย่างนี้ ของมันเป็นอย่างนี้ เรามาอาศัยชั่วคราว ถ้าอาศัยชั่วคราว เราจะทำคุณงามความดีมากน้อยขนาดไหนมันจะเป็นสมบัติของเราแล้ว

ประสบการณ์ชีวิตของคน ใครมีประสบการณ์มา สิ่งใดที่มันเป็นวิกฤติมา เขาผ่านสิ่งนั้นมา เขาจะหาการป้องกันอย่างนั้น แล้วเขามีประสบการณ์ของเขา เขาแก้ไขชีวิตของเขาได้ นี่ก็เหมือนกัน จิตของเราเวียนว่ายตายเกิดขึ้นมาโดยที่หลับหูหลับตา หลับหูหลับตาคือมันเป็นไปตามกรรมไง ไปเกิดในสถานะไหนก็ว่ามีเฉพาะชาตินี้ชาติเดียว ชาตินี้ชาติเดียว เวลาลูกหลานของเราเกิดมาจากพ่อแม่เดียวกันทำไมนิสัยมันไม่เหมือนกันล่ะ มันไม่เหมือนกันเพราะว่าจิตใจของเขา เขาได้สร้างเวรสร้างกรรมของเขา เวลามาเกิดกับเรามันต้องมีสายบุญสายกรรมกันมาถึงมาเกิดกับเรา

ถ้ามาเกิดกับเรา สิ่งนี้มันเป็นชาติตระกูล มันเป็นชาติตระกูลปัจจุบันนี้ แต่อดีตชาติมาไม่รู้ว่ามันเป็นเวรเป็นกรรมสิ่งใดกันมา ลูกที่อภิชาตบุตร ลูกที่ดีขึ้นมาก็ส่งเสริมให้ครอบครัวนั้นเจริญรุ่งเรือง ลูกที่มีปัญหาขึ้นมาเราก็ต้องดูแลของเรา มันเป็นเวรเป็นกรรม ถ้าเป็นคนอื่น เราก็ยังทำใจได้ แต่ถ้าเป็นลูกของเรา เราทำใจไม่ได้หรอก เราต้องดูแลตลอดไป เพราะมันมีเวรมีกรรมต่อกัน มันต้องยอมจำนนต่อกันไง

ถ้าเรามีสติปัญญา เรามีสติปัญญา เราพยายามหาเหตุหาผล หาเหตุหาผล ถ้ามันเป็นผลของวัฏฏะ เราก็ยอมรับผลของวัฏฏะ เราก็ดูแลของเราไป แต่หัวใจอย่าให้มันเร่าร้อนจนเกินไปไง ถ้าหัวใจไม่เร่าร้อนเกินไป อะไรจะเป็นเครื่องเยียวยาหัวใจนี้ ถ้าเป็นเครื่องเยียวยาหัวใจนี้ ก็สติปัญญาของเราเป็นเครื่องเยียวยาหัวใจของเรานี้ ให้หัวใจของเรามันมีหูมีตา

การเวียนว่ายตายเกิดผลของวัฏฏะ ผลของวัฏฏะมันมีกรรมเก่ากรรมใหม่ แล้วกรรมปัจจุบันนี้ กรรมเก่ากรรมใหม่เราเชื่อไหม ถ้าเราเชื่อขึ้นมา สิ่งที่เราสร้างขึ้นมาในปัจจุบันนี้เราเกิดเป็นมนุษย์มันมีอริยทรัพย์คือทรัพย์สมบัติของความเป็นมนุษย์ มนุษย์มีสติมีปัญญาไง ถ้ามนุษย์มีสติปัญญา ปัญญาที่การหาอยู่หากิน ปัญญาทางโลกนี้เป็นวิชาชีพ ปัญญาที่จะเอาชนะตัวเองสำคัญกว่า

เวลาครูบาอาจารย์ท่านเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาเพื่ออะไร? เพื่อรั้งหัวใจไว้ รั้งความคิดไว้ให้มันอยู่ในใจเรา เอาใจเราไว้อยู่ในหัวอก แล้วถ้าสงบระงับเข้ามามันจะมีความสุขแล้ว แล้วความสุขอย่างนี้ไปหาซื้อที่ไหน

แก้วแหวนเงินทองแลกเปลี่ยนไม่ได้ เงินจะซื้อไม่ได้ ทุกอย่างซื้อไม่ได้ จะมั่งมีศรีสุขอย่างไร ทุกข์จนเข็ญใจขนาดไหน ถ้าจะได้อริยมรรคต้องเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาเอง ครูบาอาจารย์ท่านเป็นคนชี้นำเท่านั้นแหละ จะสูงส่งขนาดไหน ถ้าอยากได้มรรคได้ผลก็ต้องภาวนา เราทุกข์จนเข็ญใจขนาดไหนเราก็ต้องภาวนา เห็นไหม มันเสมอภาคกัน เราเสมอภาคกัน เราเป็นญาติกันโดยธรรม

เราเกิดเป็นมนุษย์มีปากมีท้องเหมือนกัน ทุกคนก็ต้องหาอยู่หากินเหมือนกัน แต่การหาอยู่หากินด้วยกิเลสตัณหาความทะยานอยาก มันจะหาอยู่หากิน มันจะกินประเทศชาติ มันจะกินโลกนี้เข้าไปในกระเพาะมัน ดูสิ เขากินข้าว เขากินข้าวกินพอประทังชีวิต เขาไม่ใช่กินโดยกิเลสไง กิเลสมันกินโดยศักดิ์ศรี มันกินโดยกิเลสตัณหาความทะยานอยาก มันจะกว้านทุกอย่างมาเป็นสมบัติของมัน เวลามันจะกินโดยกิเลสมันจะกินโลกนี้เลย

แต่เวลาคนที่มีคุณธรรม มีสติปัญญานะ เขาก็กินข้าว ครูบาอาจารย์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ยังดำรงชีวิตอยู่ ท่านก็ฉันอาหาร ท่านก็ฉันข้าว เราก็กินข้าว เราก็กินข้าว เราก็หาปัจจัยเครื่องอาศัยเพื่อกินข้าว ถ้ามีสติปัญญาอย่างนี้มันเตือนตัวเอง แล้วเราขาดแคลนอะไรล่ะ ข้าวปลาอาหารเราขาดแคลนจนเราจะอยู่ไม่ได้เชียวหรือ เราก็อยู่ได้ นี่จิตใจมันไม่ดิ้นรนจนเกินไป นี่มันกินธรรม ถ้ามีสติมีปัญญาอย่างนี้ มีธรรมอย่างนี้ มันทำให้หัวใจนี้ไม่ดิ้นรนจนเกินไป ถ้าไม่ดิ้นรนจนเกินไป เราหาพออยู่พอกิน แล้วเราก็แบ่งเวลา แบ่งเวลานั่งสมาธิภาวนา ถ้านั่งสมาธิภาวนานี่เป็นอริยทรัพย์

คำว่า “สติ” คำว่า “สมาธิ” คำว่า “ปัญญา” องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก มรรค เครื่องดำเนิน เราแสวงหาของเรา สติซื้อไม่ได้ สมาธิซื้อไม่ได้ ปัญญาซื้อไม่ได้ อยากได้ต้องปฏิบัติขึ้นมา ถ้าอยากได้ต้องปฏิบัติขึ้นมา คนเราเกิดมา สมาธิที่มั่นคง ทำสิ่งใดมันก็ไม่พลาดพลั้งเผลอ คนสมาธิสั้น บางคนเกิดมาเป็นอัลไซเมอร์ คนเกิดมามีปัญหา นั่นล่ะมันต้องมีสิ่งใดมา ถ้าอย่างนั้น ถ้าสมาธิเราดี สติเราดี เราดี ดีก็ต้องเพิ่มพูนขึ้นมาสิ...มันเป็นโลกียะ มันเป็นเรื่องโลก เห็นไหม คำว่า “สมมุติ” สมมุติคือชั่วคราว มันมีอยู่ มันมีอยู่จริงโดยชั่วคราว

แต่ถ้าเราปฏิบัติของเราขึ้นมา ถ้าเป็นโลกุตตระ โลกุตตระอาศัยความมีอยู่ชั่วคราวนี้ให้มันเข้มแข็งขึ้นมา แล้วมีสัมมาสมาธิ มันมีสัมมาทิฏฐิความเห็นถูกต้อง ความเห็นถูกต้องคืออริยทรัพย์ ทรัพย์สมบัติที่เป็นความจริงมันเป็นสุขทุกข์ที่เป็นจริง สุขที่มันอยู่กับเราตลอดไป วิมุตติสุขมันไม่มีการเปลี่ยนแปลง แต่ความสุขของเรามันเป็นอนิจจัง มันเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย เดี๋ยวคิดต่างๆ แต่อาศัยสิ่งนี้เป็นพื้นฐาน เพราะมันมีของมันอยู่ แล้วเอาสิ่งนี้มาศึกษา ศึกษาแล้วค้นคว้า แล้วประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ถ้าเป็นสติก็เป็นสติจริงๆ

ถ้ามีสตินะ ความคิดที่เป็นความทุกข์ความยากมันเกิดกับใจเราไม่ได้เลย เพราะสติเรารู้ทัน ถ้าเป็นสัมมาสมาธิ มันตั้งอยู่ไม่ได้โดยสมาธิเพราะกิเลสมันต้องสงบตัวลง แล้วถ้ามันเกิดปัญญา มันเกิดมรรคขึ้นมา ภาวนามยปัญญา เราจะตื่นเต้น เราจะมีความมหัศจรรย์ว่ามันทำไมมหัศจรรย์ขนาดนี้ ใจของคนแท้ๆ ความรู้สึกนึกคิดทำไมมันมหัศจรรย์ขนาดนี้ แต่ความมหัศจรรย์นี้มันอยู่ในจิตใต้สำนึกของเรา แล้วมันโดนความเป็นสมมุติ โดนความเป็นชั่วคราวโดยอวิชชามันครอบงำไว้ แล้วสิ่งที่เป็นอวิชชา สิ่งที่ครอบงำนี้มันฉุดกระชาก คือมันฉุดให้ใจคิดตามมันไป แล้วเราก็วิ่งตามมันไป วิ่งตามไปคือการดำรงชีพ คือโลกียปัญญา ปัญญาของโลก อยู่เท่านี้ เป็นสมมุติชั่วคราวๆๆ ตลอดไป

แต่ถ้าจิตมันสงบเข้ามามันเป็นความจริงแล้ว มันเกิดมรรค เกิดมรรคเกิดผล แล้วมันเกิดมรรคเกิดผล มันสำรอกมันคายของมัน มันสำรอกมันคายของมัน มันเป็นความจริงขึ้นมา เห็นไหม ของนี้เป็นของชั่วคราว ของที่วูบวาบสั่นไหวนี้เราสามารถทำให้เป็นความจริงขึ้นมาได้ สามารถขึ้นมาว่าใจดวงนั้นทำใจดวงนั้นขึ้นมาเอง พระพุทธศาสนาสอนอย่างนี้ สอนอย่างนี้ปั๊บ เวลาสอนอย่างนี้ปั๊บ เวลาเรามองอยู่ทางโลก เรามองว่าเรามีปัญญา เราประสบความสำเร็จในชีวิต

ประสบความสำเร็จในชีวิตจะมากจะน้อยขนาดไหนมันเป็นสมบัติสาธารณะ ข้าวของเงินทอง ตำแหน่งหน้าที่เปลี่ยนแปลงมาตลอดเวลา สมบัติผลัดกันชม แต่ความจริงๆ มันเป็นของเรา ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านิพพานไปก็เป็นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ของพระสารีบุตร ของพระโมคคัลลานะก็เป็นของส่วนตนๆ ทั้งนั้นเลย แล้วของเรามีแต่ส่วนทุกข์ๆ ทั้งนั้นเลย มีแต่ความสงสัย มีแต่ความทุกข์ยากอยู่นี่ทั้งนั้นเลย แล้วเราคายมันได้ มันคายมาได้โดยปัจจัตตัง โดยสันทิฏฐิโก

อย่าเชื่อนะ กาลามสูตร ไม่ให้เชื่อใครทั้งสิ้น ไอ้ใครที่บอกว่าจะทำให้เราได้ ไอ้ใครที่บอกว่าฉันจะจัดการให้เรียบร้อย อย่าไปเชื่อ อย่าไปเชื่อ เขาจะทำใจของเขาได้ เราจะทำใจของเราได้ เราจะมีครูบาอาจารย์คอยชี้นำเรา อย่าเชื่อ อย่าเชื่อว่าใครจะมาอุ้มชูเรา อย่าเชื่อว่าใครจะมาทำให้เราประสบความสำเร็จ อย่าเชื่อ อย่าเชื่อ

ถ้าทางโลก ได้ ทางโลกคือสังคม สังคมเขาช่วยเหลือเจือจานกัน คนเราต้องมีพรรคมีพวก มีการเกื้อหนุนเกื้อกูลกัน นี่สัตว์สังคม แต่ประพฤติปฏิบัติ ครูบาอาจารย์คอยชี้ทางเท่านั้น กาลามสูตร อย่าเชื่อ อย่าเชื่อ ประพฤติปฏิบัติขึ้นมาตามความเป็นจริงของเราให้เป็นจริงขึ้นมา

ฟังธรรมๆ เป็นอย่างนี้ เขาบอกว่าการให้ธรรมชนะซึ่งการให้ทั้งปวง ก็คือการให้ปัญญา การให้ปัญญา การให้เราได้ฉุกคิด การให้เรามีสติปัญญาให้เราไม่เป็นเหยื่อของใคร เราไม่เป็นเหยื่อของใคร เราเอาสติปัญญา เอาจิตของเราไว้ในร่างกายนี้ ไม่ให้ใครหลอกลวง เวลาเราคิดไปยอมรับใคร เราเอาใจนี้ส่งออกไปให้เขาแล้ว เราเอาใจของเราไว้ในร่างของเรา ฟังธรรมๆ เพื่อเหตุนี้ เพื่อตั้งสติเพื่อมีปัญญาของเรา เพื่อประโยชน์กับเรา แล้วให้ตั้งสติแล้วพยายามดำรงชีวิต พาชีวิตนี้อย่าไปกระทบกระเทือนกับใคร

ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกชีวิตนี้เหมือนสวะ มันลอยไปตามน้ำ แล้วมันก็ไปกระทบกระเทือนกับใคร เราเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เกิดมาเป็นมนุษย์ แล้วกระทบกระเทือนกันเหมือนมันไปกระทบกระเทือนกัน เรามีสติมีปัญญารักษาชีวิตของเรา เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร เกิดมาทั้งชีวิตไม่มีหรอกที่จะไม่มีการกระทบกระทั่งกัน จะไม่มีหรอกที่เราจะโดนกระทบกระเทือนหัวใจ มีกันทุกคนแหละ แต่ตั้งสติไว้ ผลของวัฏฏะมันเป็นอย่างนี้ ฝนตกแดดออกมันเป็นโดยธรรมชาติ สิ่งที่กระทบกระเทือนกันมันมีของมันอย่างนี้ ตั้งสติของเราไว้แล้วยิ้มกับมันไง ยิ้มกับมัน อะไรมากระทบก็หัวเราะ เออ! เจออีกแล้ว เจออีกแล้ว แล้วมันไม่ทุกข์จนเกินไป แต่ไม่ใช่คนเซ่อ เราต้องมีสติปัญญาแก้ไข แต่อย่าเอากิเลสมาเผาลนหัวใจ มันมีของมันอยู่ อย่าเอากิเลสมาเผาลนหัวใจ รักษาชีวิตของเรา อย่าให้มันทุกข์ยากจนเกินไป เอวัง